บทนำ
กัญชา (Cannabis sativa) เป็นพืชที่มีประวัติการใช้ในประเทศไทยยาวนาน ทั้งในด้านสมุนไพรและการบำบัดโรค อย่างไรก็ตาม ประเด็นการควบคุมกัญชาและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกัญชา เช่น อาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่มีกระแสการผ่อนคลายกฎหมายเกี่ยวกับกัญชาในปี พ.ศ. 2565 เป็นต้นมา
พัฒนาการทางกฎหมาย
ก่อน พ.ศ. 2565 กัญชายังคงจัดอยู่ในบัญชีสารเสพติดประเภท 5 ภายใต้พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ห้ามผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองอย่างเด็ดขาด
ภายหลังจากที่รัฐบาลได้ปลดล็อกบางส่วนเกี่ยวกับกัญชา โดยอนุญาตให้ใช้ทางการแพทย์และเชิงเศรษฐกิจมากขึ้น แต่มีข้อจำกัด เช่น ห้ามใช้กัญชาในผลิตภัณฑ์อาหารหรือเครื่องดื่มสำหรับเด็ก หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
มาตรการควบคุมผลิตภัณฑ์กัญชา
ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่ผสมกัญชา ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงสาธารณสุข โดยต้องผ่านการตรวจสอบปริมาณสารสำคัญ เช่น เตตราไฮโดรแคนนาบินอล (THC) และแคนนาบิไดออล (CBD) ไม่ให้เกินค่าที่กฎหมายกำหนด การผลิตและจำหน่ายต้องมีใบอนุญาตและป้ายกำกับชัดเจน หากตรวจพบว่ามีการขายอาหารหรือขนมผสมกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือปริมาณ THC เกินมาตรฐาน จะถูกดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา
ผลกระทบต่อเยาวชนและสังคม
หลังการผ่อนคลายมาตรการ พบอัตราการใช้กัญชาในกลุ่มเยาวชนไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้หน่วยงานรัฐต้องเข้มงวดกับการควบคุมผลิตภัณฑ์กัญชาในท้องตลาด โดยเน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยสำหรับเด็กและเยาวชน รวมถึงการดำเนินการตรวจสอบร้านค้าแบบต่อเนื่อง
โทษทางกฎหมาย
ผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มผสมกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจต้องรับโทษปรับสูงสุด 30,000 บาท จำคุกไม่เกินสามปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่ผลิตภัณฑ์มีสาร THC เกินกว่ากฎหมายกำหนด อาจถูกดำเนินคดีในข้อหาผลิตอาหารไม่บริสุทธิ์ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดสองปีและปรับไม่เกิน 20,000 บาท ขึ้นอยู่กับภาวะความรุนแรงของคดี
สรุป
แม้ว่ากัญชาจะได้รับการผ่อนคลายกฎหมายบางส่วนในประเทศไทย แต่การควบคุมการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชา โดยเฉพาะในอาหารและเครื่องดื่ม ยังคงต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันอันตรายต่อเยาวชนและสังคมโดยรวม
Comments
No comments yet. Be the first to comment!