บทคัดย่อ
บทความนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์หัวข้อการที่วุฒิสภาสหรัฐฯ ปฏิเสธร่างมติ War Powers Resolution เพื่อจำกัดอำนาจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในการดำเนินการโจมตีอิหร่านซ้ำอีกครั้ง การศึกษานี้อธิบายความหมายของคำและแนวคิดที่เกี่ยวข้อง พิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์และกฎหมายของสหรัฐฯ อภิปรายผลกระทบทางรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร พร้อมเชื่อมโยงกับกรณีตัวอย่างและทรรศนะนักวิชาการ
ที่มาและบริบท
'War Powers Resolution' หรือ 'ร่างมติอำนาจสงคราม' เป็นกฎหมายของสหรัฐฯ ที่ผ่านในปี ค.ศ. 1973 มีจุดมุ่งหมายเพื่อวางข้อจำกัดต่ออำนาจของประธานาธิบดีในการนำกำลังทหารไปปฏิบัติการในต่างประเทศโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาคองเกรส เหตุการณ์ล่าสุดในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน โดยเฉพาะหลังการสังหารนายพลคาสซิม สุไลมานี ในเดือนมกราคม 2020 คณะนิติบัญญัติพยายามผลักดันร่างมติเพื่อป้องกันการใช้กำลังทหารที่อาจนำไปสู่การทำสงครามโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการถ่วงดุลอำนาจ
การวิเคราะห์และอภิปราย
ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาคือ ความสมดุลระหว่างอำนาจของฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ตามมาตรา 1 และ 2 กำหนดให้สภาคองเกรสเป็นผู้ประกาศสงคราม ในขณะที่ประธานาธิบดีเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ('Commander-in-Chief') อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ใช้กำลังทหารในสถานการณ์ต่างประเทศโดยไม่มีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการหลายครั้ง เช่น สงครามเวียดนาม ปฏิบัติการในลิเบีย หรือซีเรีย
นักรัฐศาสตร์เช่น Louis Fisher และ John Hart Ely ให้ความเห็นว่า War Powers Resolution มีประสิทธิภาพจำกัด เพราะฝ่ายบริหารมักหาเหตุผลทางกฎหมายหรือทางปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัด ในกรณีนี้ วุฒิสภาที่ถูกครองโดยพรรครีพับลิกันโหวตปฏิเสธร่างมติซึ่งจะจำกัดอำนาจของทรัมป์ เป็นการแสดงให้เห็นถึงพลวัตของพรรคและความสัมพันธ์อิงอำนาจในระบบการเมืองสหรัฐฯ ส่งผลให้ฝ่ายบริหารยังคงมีอำนาจยืดหยุ่นในการใช้กำลังทหาร
นอกจากนี้ ศาสตร์รัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ เช่น ทฤษฎี Realism อธิบายว่าความต้องการรักษาบทบาทผู้นำและความมั่นคงของชาติ กระตุ้นให้ฝ่ายบริหารถืออำนาจเหนือการตัดสินใจเรื่องความมั่นคง ส่วนทฤษฎี Liberalism เน้นบทบาทของกระบวนการทางประชาธิปไตยและการถ่วงดุลอำนาจ นักวิชาการส่วนหนึ่งเชื่อว่าการที่สภาคองเกรสล้มเหลวในการจำกัดประธานาธิบดีเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าสู่ความขัดแย้งที่ไม่ได้รับการตรวจสอบถ่วงดุล
สรุปและประเด็นในอนาคต
การที่วุฒิสภาสหรัฐฯ ปฏิเสธร่างมติ War Powers Resolution ในกรณีของทรัมป์และอิหร่าน เป็นตัวอย่างชัดเจนของความท้าทายในการถ่วงดุลอำนาจระหว่างสองสถาบันหลักของการปกครองในสหรัฐฯ ประเด็นนี้มีผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองภายใน และการทูตในระดับระหว่างประเทศ และตั้งคำถามสำคัญต่อบทบาทของฝ่ายนิติบัญญัติในอนาคตว่าจะสามารถฟื้นคืนอำนาจตรวจสอบฝ่ายบริหารอย่างมีประสิทธิภาพได้หรือไม่
This article was inspired by the headline: 'Senate Blocks War Powers Resolution to Limit Trump’s Ability to Strike Iran Again - The New York Times.'
Comments
No comments yet. Be the first to comment!