ข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา: เรื่องราวเบื้องหลังการเจรจาและเส้นทางสู่สันติภาพที่น่าจับตา

ข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชา: เรื่องราวเบื้องหลังการเจรจาและเส้นทางสู่สันติภาพที่น่าจับตา
1.0x

สรุปเนื้อหา

เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2568 กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้แถลงเรียกร้องให้กัมพูชากลับสู่โต๊ะเจรจาโดยใช้กลไกคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ตามบันทึกความเข้าใจ (MoU) ปี 2543 แทนที่จะนำข้อพิพาทเขตแดนเกี่ยวกับปราสาทโบราณ 4 แห่งและพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ไปสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ฝ่ายไทยปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าตนเป็นผู้ขัดขวางการเจรจา และเน้นย้ำว่าทั้งสองประเทศเคยร่วมมือกันใช้กลไก JBC อย่างประสบความสำเร็จกับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ เช่น มาเลเซียและลาว

วิเคราะห์

เหตุการณ์นี้สะท้อนความตึงเครียดเรื้อรังจากประเด็นเขตแดนซึ่งฝังรากลึกในประวัติศาสตร์และอัตลักษณ์ของทั้งสองประเทศ การที่กัมพูชายื่นฟ้องศาลโลกโดยตรง แทนการดำเนินการผ่าน JBC ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีที่ตกลงไว้ร่วมกัน อาจสะท้อนถึงความไม่ไว้วางใจหรือมองว่าการเจรจาทวิภาคีไม่ได้ผลจริง ทั้งนี้ MoU ปี 2543 ไม่ได้ระบุถึงกลไกระหว่างประเทศเป็นทางออก และการที่ไทยยืนยันว่าตนไม่ได้ละเมิด MoU นั้น สะท้อนถึงการยึดมั่นในแนวทางที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาภายในภูมิภาคก่อน

น่าสังเกตว่าการที่กัมพูชาเลือกข้ามกลไก JBC ไปศาลโลก อาจสะท้อนจุดอ่อนเชิงโครงสร้างของระบบเจรจาทวิภาคีซึ่งลากยาวมากว่า 12 ปีโดยแทบไม่คืบหน้า การมุ่งหวังผลลัพธ์จากศาลโลกจึงอาจเป็นทั้งการส่งสัญญาณทางการเมืองไปยังประชาคมระหว่างประเทศ และการกดดันไทยให้เร่งแก้ไขปัญหา

ถกประเด็นและตีความ

ข้อพิพาทเขตแดนไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับภูมิภาคอาเซียน และกรณีไทย-กัมพูชาเคยเป็นข่าวใหญ่หลายครั้ง เช่น กรณีปราสาทพระวิหาร เป็นตัวอย่างว่าความต่างของแผนที่ มรดกโลก และอดีตที่ยังหลอนได้สร้างความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ อย่างไรก็ดีท่าทีของไทยที่เน้นผ่านกลไกทวิภาคี สะท้อนหลักการไม่แทรกแซงและความไว้วางใจระหว่างกันซึ่งเป็นแก่นของประชาคมอาเซียน

อย่างไรก็ตาม ความล่าช้าในการดำเนินงาน JBC กว่า 12 ปี อาจชวนตั้งคำถามว่า กลไกนี้ยังใช้งานได้จริงหรือไม่ หรือควรมีการปรับปรุง พัฒนาความโปร่งใส และสร้างความไว้วางใจร่วมกันมากขึ้น ขณะที่การส่งเรื่องขึ้นศาลโลกอาจเป็นดาบสองคม—ทั้งช่วยขจัดอารมณ์ชาติพันธุ์ให้ไปสู่การตัดสินบนฐานหลักฐาน หรือกระตุ้นความรู้สึกรุนแรงมากขึ้นในหมู่ประชาชนทั้งสองฝ่าย

ในมุมกว้าง ประเด็นนี้เป็นกรณีศึกษาสำคัญเกี่ยวกับกระบวนการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศและเส้นแบ่งบาง ๆ ระหว่างอธิปไตยกับความจำเป็นในการประสานงานระดับภูมิภาค ทั้งยังสะท้อนว่ามรดกแห่งประวัติศาสตร์ยังคงกำหนดเส้นทางการเมืองปัจจุบันอย่างไม่อาจละเลย

คำถามเพื่ออนาคต

  • JBC ควรถูกปรับปรุงหรือเสริมสร้างกลไกใหม่ ๆ หรือไม่ เพื่อให้ทันต่อสภาวการณ์
  • องค์กรระดับภูมิภาค เช่น อาเซียน ควรเข้ามามีบทบาทหรือเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์
  • กระบวนการตัดสินจากศาลโลกจะช่วยคลี่คลายหรือซับซ้อนปัญหามากขึ้นในระยะยาว

ข้อพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชาในบริบทใหม่นี้จึงเป็นมากกว่าปมพื้นที่หรืออิฐหินโบราณ หากแต่เป็นบททดสอบการปรับตัวของภูมิภาคในการจัดการความขัดแย้งโดยสันติและเห็นคุณค่าของความเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ร่วมกัน

Language: Thai
Keywords: เขตแดน, ไทย-กัมพูชา, ปราสาทโบราณ, JBC, ศาลโลก, MoU, ข้อพิพาทระหว่างประเทศ, อาเซียน
Writing style: บทความวิเคราะห์เชิงลึกและอภิปราย
Category: ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
Why read this article: เพื่อเข้าใจข้อเท็จจริง วิเคราะห์เบื้องลึก และตั้งคำถามต่ออนาคตของข้อพิพาทไทย-กัมพูชาซึ่งสะท้อนภาพใหญ่ของกลไกสันติภาพในภูมิภาคอาเซียน
Target audience: นักวิชาการ ผู้สนใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่ต้องการมุมมองกว้างไกลเกี่ยวกับข้อพิพาททางเขตแดนและการทูตในภูมิภาค

Comments

No comments yet. Be the first to comment!

0/2000 characters