สรุปเนื้อหา
บทความนี้เจาะลึกกระแสความวิตกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการรัฐประหาร ภายใต้บรรยากาศการเมืองที่ตึงเครียด หลังมีม็อบเรียกร้องให้รัฐบาลแพทองธารลงจากตำแหน่ง และกลุ่มการเมืองบางฝั่งออกท่าทีคลุมเครือทั้งไม่สนับสนุนแต่ก็ไม่ขัดขวางรัฐประหาร ในขณะเดียวกัน รัฐมนตรีกลาโหม คุณภูมิธรรม เวชยชัย พยายามบริหารความสัมพันธ์กับเหล่าผู้บัญชาการทหารทั้ง 4 เหล่าทัพอย่างใกล้ชิด รวมถึงยืนยันผ่านสื่อว่าวันนี้ "รัฐประหาร" ไม่ได้อยู่ในความคิดของผู้บัญชาการกองทัพชั้นผู้ใหญ่ พร้อมผลักดันโครงการจัดหายุทโธปกรณ์เพื่อรักษาความสัมพันธ์แบบวิน-วิน และสร้างเสถียรภาพในระบบราชการทหาร ท้ายที่สุด แม้ตอนนี้จะประเมินว่าโอกาสรัฐประหารเป็นศูนย์ แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าจะไม่เกิดถ้ากฎหมายและการเมืองเข้าสู่ภาวะไร้การควบคุม
วิเคราะห์: ความหมายและผลกระทบจากท่าทีรัฐประหาร
ปัจจัยและแรงผลักดัน — สถานการณ์นี้เกิดจากความไม่พอใจของประชาชนกับรัฐบาลและม็อบที่โหมกระแสดังกล่าว ขณะเดียวกัน ฝ่ายการเมืองเองมีประวัติระแวงทหาร ซึ่งนำไปสู่ความพยายามต่อรอง-ประนีประนอมกับผู้มีอำนาจในกองทัพผ่านนโยบายและงบประมาณ รวมถึงโครงการจัดซื้ออาวุธ เพื่อสลายความหวาดกลัวการถูกยึดอำนาจ
ช่องโหว่ในระบบการตรวจสอบ — การฝากความหวังไว้กับองค์กรอิสระอาจไม่สามารถตอบโจทย์ทางออกของวิกฤตทางการเมือง ซึ่งสะท้อนปัญหาการขาดกลไกตรวจสอบถ่วงดุลที่เข้มแข็งและเชื่อถือได้ในระบอบประชาธิปไตยไทย
ความรู้สึกไม่มั่นคงและปฏิสัมพันธ์แห่งอำนาจ — แม้ผู้มีอำนาจพยายามหลีกเลี่ยงการรัฐประหารอย่างเป็นทางการ แต่การหยั่งท่าทีและตอกย้ำทางปากกับเหล่าทัพสะท้อนว่า ท้ายที่สุดทหารยังคงเป็น Stakeholder สำคัญสุดในการขับเคลื่อนสถานการณ์วิกฤต และผู้มีอำนาจทางการเมืองเองอาจต้องรักษารูปแบบความสัมพันธ์ น้ำพึ่งเรือ-เสือพึ่งป่า เพื่อความอยู่รอด
การสื่อสารกรอบกฎหมาย — กองทัพเสนอตัวเป็นมืออาชีพ เดินตามกระบวนการและกฎหมาย เป็นภาพสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคม แต่ในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อเกิดสุญญากาศทางการเมือง บทบาททหารก็ยังสามารถพลิกผันได้ทุกเมื่อ
ถกเถียงและตั้งข้อสังเกต: ทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญ?
บทเรียนประวัติศาสตร์ — การรัฐประหารซ้ำซากในไทยเปิดแผลเก่าในสังคม ทั้งด้านสิทธิ เสรีภาพ ความโปร่งใส และการคานอำนาจประชาธิปไตย ประชาชนหวาดกลัววัฏจักรน้ำเน่าการเมืองไทยจะเวียนมาอีก
ความสัมพันธ์ทหาร-การเมือง - ความจำเป็นหรือกับดัก? — การเอาใจและดูแลผลประโยชน์กองทัพมากเกินไปสะท้อนธรรมาภิบาลอ่อนแอ ประชาธิปไตยไม่เข้มแข็ง ถามว่าหากกองทัพยังคงมีอิทธิพลเหนือรัฐและประชาชน ทางออกเสถียรภาพระยะยาวของชาติจะเป็นไปได้หรือไม่?
ถึงเวลาสร้างสถาบันให้อยู่นอกวงจรความกลัวภัยรัฐประหาร? ทางเดียวที่จะก้าวข้ามความเสี่ยงนี้ได้คือการสร้างกลไกตรวจสอบถ่วงดุล องค์กรอิสระที่โปร่งใส ร้านนโยบายอาวุธของกองทัพด้วยการตรวจสอบจากภาคประชาสังคมและรัฐสภาอย่างแท้จริง
โลกเปลี่ยน ทหารไทยต้องเปลี่ยน? — ท่ามกลางบริบทโลกที่รัฐประหารไม่ได้สร้างเสถียรภาพจริงในระยะยาว การเมืองไทยควรเรียนรู้และขยับเข้าสู่ประชาธิปไตยที่กองทัพอยู่ในกรอบอย่างแท้จริง เท่าทันภูมิรัฐศาสตร์และแนวโน้มสากล
ข้อคิดส่งท้าย
รัฐประหารอาจยากจะเกิดในวันนี้ หากทุกฝ่ายไม่ทำให้ระเบียบกฎหมาย-สังคมสูญสลายเสียก่อน แต่อดีตได้หลอกหลอนจนปัจจุบันไม่มีใครกล้าปฏิเสธความเป็นไปได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ สังคมไทยควรใช้วิกฤตนี้เป็นโอกาสคิดใหม่ ทำใหม่ แก้ไขจุดอ่อนฝังราก ยึดทางออกด้วยกระบวนการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่ใช่การยกทหารขึ้นมาเป็นทางออกอีกครั้ง
Comments
No comments yet. Be the first to comment!