สรุปเนื้อหา
เหตุการณ์ล่าสุดในประเทศไทย เกิดขึ้นเมื่อสายโทรศัพท์ที่นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ต่อสายถึงฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา ถูกเผยแพร่โดยตรงโดยฮุน เซนเองหลังข้อมูลบางส่วนรั่วไหล นำไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์หนักในไทย และการออกมาเคลื่อนไหวของประชาชนกว่า 10,000 คนที่เรียกร้องให้เธอลาออก ในบทสนทนา แพทองธารแสดงความเป็นกันเองกับฮุน เซน พร้อมวิจารณ์ผู้บัญชาการทหารระดับสูงคนหนึ่ง เหตุการณ์นี้จุดชนวนวิกฤตทางการเมืองครั้งใหม่ในประเทศที่มีประวัติรัฐประหารและการแทรกแซงโดยตุลาการอย่างต่อเนื่อง ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งพักงานนายกฯแพทองธารขณะรอตรวจสอบจริยธรรม ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในอนาคตทั้งของเธอและราชวงศ์ชินวัตรซึ่งเป็นศูนย์กลางของอำนาจทางการเมืองไทยกว่า 2 ทศวรรษ
วิเคราะห์
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างอำนาจทางการเมืองไทยอันเปราะบาง วงจรความขัดแย้งที่ยังไม่จบระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย (ที่นำโดยชินวัตร) กับฝ่ายอนุรักษ์นิยม/ทหาร-ราชสำนัก ผู้มีอิทธิพลหลัก แม้ชินวัตรจะประนีประนอมจับมือกับขั้วตรงข้ามเพื่อจัดตั้งรัฐบาล แต่ผลที่ได้คือสูญเสียทั้งความเชื่อใจจากฐานเสียงดั้งเดิมและยังถูกจ้องเล่นงานจากศาลและสถาบันรัฐ ดังคำวิจารณ์ว่า "ชนชั้นนำไทยอาจเชื่อว่าตนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาทักษิณอีกต่อไป"
ปรากฏการณ์นี้ยังชี้ให้เห็นจุดอ่อนของระบบประชาธิปไตยที่ติดกับดักอำนาจสืบทอดในครอบครัว เช่นกรณีแพทองธารวัย 38 ที่ไร้ประสบการณ์ แต่ถูกดันขึ้นเป็นนายกฯคนที่ 4 ของตระกูลนี้ ความสัมพันธ์ส่วนตัวและสำนวนการพูดภาษาเป็นกันเองในสายโทรศัพท์กับฮุน เซน กลายเป็นจุดที่ถูกใช้โจมตีเรื่องขาดวุฒิภาวะทางการเมืองและการดูแลผลประโยชน์ชาติ
สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ การหันมาใช้มาตรการตุลาการหรือม็อบถนนเพื่อกดดันฝ่ายตรงข้ามซ้ำแล้วซ้ำเล่า วงจรนี้ไม่เว้นแม้แต่ชินวัตร ทั้งรัฐประหารและคำสั่งศาล การกลับชาติมาเกิดของ "ระเบียบอำนาจนิรันดร์" (Deep State) ดูยังแข็งแกร่ง ขณะที่พรรคเพื่อไทยดูเหมือนสิ้นท่าในเชิงอุดมการณ์และความชอบธรรม
ถกเถียง
ประเด็นนี้มีความสำคัญต่ออนาคตประชาธิปไตยไทย เพราะสะท้อนถึงวังวนความขัดแย้งทางสถาบัน และคำถามเรื่องบทบาทของครอบครัวทางการเมือง แฟคเตอร์ใหม่คือ ฮุน เซน ที่อาจกลายเป็นหมากสำคัญในการเจรจาต่อรองหรือกระทั่งเป็นเครื่องมือข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม หากข้อกล่าวหาทำร้ายสถาบันกษัตริย์ไทยหลุดออกมา ผลสะเทือนจะหนักหน่วงยิ่ง
น่าสังเกตว่านี่เป็นเพียง "รอบหนึ่ง" บนเกมบันไดงูอำนาจที่ไทยยังถูกขังไว้ หากชินวัตรหมดพลังและอนาคตฝ่ายทหาร-อนุรักษ์นิยมยังครองความได้เปรียบทางกลไกศาลและกำลัง สังคมไทยควรตั้งคำถามว่า: โครงสร้างใหญ่ (เช่น อำนาจตุลาการ, กองทัพ, สถาบันพระมหากษัตริย์) กับประชาชนทั่วไป กำลังเดินไปทางเดียวกันหรือไม่? หรือเพียงแต่เป็นสลับตัวแสดงแต่โครงสร้างเดิมยังอยู่?
เรื่องนี้ยังสะท้อนว่า แม้จะมี "ข้อตกลงใต้โต๊ะ" การประนีประนอมหรือพยายามหนีวัฏจักรความขัดแย้งก็ไม่สามารถกำจัดความบาดหมางโครงสร้างได้ ไม่มีใครรู้ว่าเกมนี้จะจบลงเมื่อไร หรือไปสู่ทิศทางใดต่อ—เลือกตั้งใหม่ รัฐประหาร หรืออำนาจรัฐปฏิวัติรูปแบบอื่น
คำถามต่อไป
- โครงสร้างใหม่ของประชาธิปไตยไทยจะต้องพัฒนาอย่างไรให้หลุดพ้นจากวังวนอำนาจเดิม?
- ฝ่ายประชาธิปไตยควรตั้งหลักใหม่อย่างไรหาก "การเมืองราชวงศ์" คือทางตัน?
- ขอบเขตเชิงจริยธรรมของการพูดคุยทางการทูตส่วนตัวในฐานะผู้นำประเทศคืออะไร?
- อนาคตของประเทศไทยยังมีที่ว่างสำหรับการเมืองโปร่งใสและการยอมรับในความหลากหลายของผู้แทนหรือไม่?
หากไม่คิดถึงคำตอบของคำถามเหล่านี้อย่างจริงจัง ไทยอาจวนเวียนซ้ำรอยเดิมของม็อบ ศาล รัฐประหาร และความไม่แน่นอนอีกนานแสนนาน.
Comments
No comments yet. Be the first to comment!