สรุปสถานการณ์
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศผ่าน Truth Social ว่าสหรัฐฯ จะเก็บภาษีศุลกากรสูงถึง 36% กับสินค้าทุกประเภทที่นำเข้าจากประเทศไทย เริ่ม 1 สิงหาคมนี้ มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางเชิงรุกเพื่อลด 'การเสียเปรียบดุลการค้า' ของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าอย่างไทย โดยครอบคลุมถึงสินค้าที่ถูกแทรกซึมผ่านไทยเพื่อหลบเลี่ยงอัตราภาษีที่สูงกว่าในประเทศอื่นด้วย เช่นเดียวกับประเทศอื่นในอาเซียน (กัมพูชา เมียนมาร์ ลาว) และคู่ค้าสำคัญในเอเชีย (เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย) ที่ถูกประกาศขึ้นภาษีในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวระบุว่านี่คือแผนการค้าแบบ “สั่งตัดต่อประเทศ” ที่ประธานาธิบดีออกแบบเป็นรายกรณี
วิเคราะห์ผลกระทบและเบื้องหลัง
เหตุผลเชิงเศรษฐกิจ หรือการเมือง?
เหตุผลที่รัฐบาลทรัมป์กล่าวอ้าง คือ ความไม่สมดุลทางการค้าและ 'ภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงชาติ' จากดุลขาดดุลที่สหรัฐฯ มีกับไทย อย่างไรก็ตาม ท่าทีแข็งกร้าวและการกำหนดอัตราโดยฝ่ายเดียวเช่นนี้ ไม่ต่างจากกระแสชาตินิยมทางเศรษฐกิจ (Economic Nationalism) ที่เห็นในสมัยแรกของทรัมป์และในอีกหลายประเทศหลังโควิด-19 นอกจากนี้ การขู่ลงโทษเพิ่มเติมหากไทยตอบโต้ สะท้อนถึงการใช้เครื่องมือภาษีเป็นอาวุธกดดันทางการเมืองมากเท่าเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน อัตราภาษีที่ต่างชาติถูกกำหนดในแต่ละประเทศนั้น แสดงถึงการคำนวณทางยุทธศาสตร์ในแง่ความสัมพันธ์ ทรัพยากร และการเจรจาการค้าในอดีต จุดสังเกตที่น่าสนใจคือ อัตราของไทย กัมพูชา ลาว และเมียนมาร์ อยู่ในระดับสูง ขณะที่บางประเทศได้รับการปรับลดลงบ้าง นัยยะที่ซ่อนอยู่ อาจเป็นสัญญาณว่าการเจรจาภายใต้โต๊ะ หรือปัจจัยที่ไม่ได้เปิดเผยสู่สาธารณะยังคงดำเนินอยู่
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ประเทศ และภูมิภาค
การออกมาตรการเช่นนี้อาจสร้างความหวาดหวั่นต่อตลาดเงิน ตลาดทุน นักลงทุน และผู้ประกอบการในภูมิภาคอาเซียน ตลอดจนบีบให้ผู้ส่งออก ต้องทบทวนห่วงโซ่อุปทานหรือแม้แต่ลงทุนตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ หากต้องการคงการเข้าถึงตลาดอเมริกัน ซึ่งเป็นข้อเสนอแฝงจากฝั่งวอชิงตัน ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ การกดดันต่อไทยและเพื่อนบ้านผ่านภาษี อาจดันประเทศเหล่านี้ไปสู่การลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และกระชับสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ-การเมืองกับจีนหรือกลุ่มอื่นแทน
ยังไม่รวมข้อกังวลเชิงศีลธรรมและผลประโยชน์รวมระดับโลก เพราะการใช้มาตรการเรียกภาษีฝ่ายเดียวแบบนี้อาจนำไปสู่สงครามการค้า และบ่อนทำลายเสถียรภาพระบบการค้าเสรีระหว่างประเทศที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกมาหลายทศวรรษ
ถกเถียงและตั้งคำถาม
เหตุการณ์นี้สำคัญ เพราะมันสะท้อนทั้งบริบทภายในสหรัฐฯ ที่การเมืองเรื่องการค้ากลับมาเป็นเครื่องมือหาเสียงและอำนาจ และความเปราะบางของเศรษฐกิจกลุ่มเป้าหมายอย่างไทย ที่แม้จะพยายามกระจายความเสี่ยง แต่ก็ยังพึ่งสหรัฐฯ อย่างมากในสินค้าหลายกลุ่ม (โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์)
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โลกเผชิญแนวโน้มกีดกันทางการค้า หากมองย้อนกลับไปยุคสงครามการค้า สหรัฐฯ-จีน หรือช่วง 2018-2019 ที่ทรัมป์เคยใช้ภาษีเป็นเครื่องมือเช่นกัน เราเห็นแล้วว่าผลลัพธ์จริงมักกระทบวงกว้างกว่าความคาดหมาย: ราคาสินค้าภายในสหรัฐฯ สูงขึ้น ห่วงโซ่อุปทานโลกหยุดชะงัก และคู่ค้าสำคัญปรับตัวโดยเปลี่ยนทิศทางการค้า
คำถามสำคัญคือ สหรัฐฯ สามารถบรรลุเป้าหมายดุลการค้าที่ “สมดุลและยุติธรรม” ได้จริงหรือไม่ ด้วยวิธีใช้อำนาจฝ่ายเดียว? แล้วไทยและประเทศกำลังพัฒนาจะนำเสนอทางเลือกอย่างไรที่จะไม่ติดกับดักประเทศเดียว?
สุดท้าย เรื่องนี้คือกรณีศึกษาให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย—นักการเมือง นักอุตสาหกรรม และประชาชน—ต้องตื่นรู้ถึงพลวัตที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วของระเบียบเศรษฐกิจโลก
Comments
No comments yet. Be the first to comment!